เมนู

อรรถกถาธรรมสูตร1ที่ 8


ธรรมสูตร มีคำเริ่มต้นว่า ยสฺมา หิ ธมฺมํ ดังนี้.
พระสูตรนี้ท่านเรียกว่า นาถสูตร ก็มี.
ถามว่า พระสูตรนี้มีการเกิดขึ้นเป็นอย่างไร ?
ตอบว่า ก็พระสูตรนี้พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสปรารภพระสารีบุตรผู้มี
อายุ นี่คือความสังเขปในพระสูตรนี้ ส่วนความพิสดารพึงทราบจำเดิมแต่กาล
ที่พระอัครสาวกทั้งสองอุบัติขึ้น คือ
ดังได้สดับมา เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้ายังไม่ทรงอุบัติขึ้น พระอัคร-
สาวกทั้งสองบำเพ็ญบารมีอยู่ 1 อสงไขยกับแสนกัป แล้วบังเกิดในเทวโลก
บรรดาอัครสาวกทั้ง 2 นั้น ท่านแรก (พระสารีบุตร) เคลื่อนจากเทวโลกแล้ว
ก็ถือปฏิสนธิในครรภ์ของนางพราหมณีชื่อว่า รูปสารี แห่งพราหมณ์ผู้เป็นนาย
บ้านซึ่งมีทรัพย์ถึง 560 โกฏิ ในบ้านอันเป็นที่อยู่อาศัยของพวกพราหมณ์
ชื่อว่า อุปติสสคาม อันอยู่ไม่ไกลจากกรุงราชคฤห์. ท่านที่สอง (พระ-
โมคคัลลานะ) ถือปฏิสนธิในท้องของนางพราหมณีชื่อว่า โมคคัลลานี แห่ง
ท่านพราหมณ์ผู้เป็นนายบ้าน ซึ่งมีทรัพย์จำนวน 560 โกฎิ เช่นกัน ณ บ้าน
ที่อยู่อาศัยของพวกพราหมณ์ชื่อ โกลิตคาม ในที่ไม่ไกลจากกรุงราชคฤห์นั้น
เช่นกัน (โดยถือปฏิสนธิ) ในวันนั้นนั่นเอง.
1. บาลีว่า นาวาสูตร

การถือปฏิสนธิและการออกจากครรภ์แห่งท่านทั้งสองนั้น ได้มีแล้ว
ในวันเดียวกันเช่นกัน ญาติทั้งหลายได้ตั้งชื่อให้เด็กคนหนึ่งในบรรดาเด็กสอง
คนนั้นว่า อุปติสสะ เพราะเกิดในอุปติสสคาม และตั้งชื่อเด็กอีกคนหนึ่งว่า
โกลิตะ เพราะเกิดในโกลิตคาม ก็ในวันเดียวกันเหมือนกัน เด็กทั้งสองนั้น
เป็นสหายวิ่งเล่นมาด้วยกัน ถึงความเจริญโดยลำดับ สหายคนหนึ่ง ๆ มีมาณพ
เป็นบริวารคนละ 500 สหายทั้งสองนั้น เมื่อจะไปสู่อุทยานก็ตาม สู่ท่าน้ำก็
ตาม ย่อมไปพร้อมกับบริวารนั่นเอง สหายคนหนึ่ง (อุปติสสะ) ไปด้วยวอทอง
500 หลัง สหายคนที่สอง (โกลิตะ) ไปด้วยรถเทียมม้าอาชาไนย 500 คัน.
ก็ ณ กาลครั้งนั้น ในเมืองราชคฤห์ได้มีมหรสพบนยอดเขาในกาล
ตามลำดับกาล (ตามเทศกาล) ในเวลาเย็น พวกชาวแคว้นอังคะและแคว้นมคธะ
ทั้งสิ้น ซึ่งเป็นคนฉลาด มีขัตติยราชกุมารเป็นต้น ได้ประชุมกัน ณ สถานที่
นั้น ในท่ามกลางพระนคร ก็นั่งชมมหรสพชนิดต่าง ๆ อยู่บนสถานที่ทั้งหลาย
ที่ปูลาดไว้เป็นอย่างดี มีเตียงและตั่งเป็นต้น. ครั้งนั้น สหายทั้งสองเหล่านั้น
พร้อมกับบริวาร ก็ไปในที่นั้น แล้วนั่งบนอาสนะทั้งหลายที่ปูลาดไว้ มีเตียง
และตั่งเป็นต้น ชมมหรสพอยู่ได้มีความคิดว่า ยังไม่ถึงร้อยปีในระหว่างนี้ก็จัก
ตายดังนี้. ความตายได้มาปรากฏแก่อุปติสสะนั้นประดุจจับอยู่ที่หน้าผาก. ความ
คิดเช่นเดียวกันนี้ก็ได้เกิดขึ้นแก่โกลิตมาณพเช่นกัน. เมื่อนักฟ้อนทั้งหลายมี
จำนวนมิใช่น้อยฟ้อนรำอยู่ จิตใจของสหายทั้งสองนั้นมิได้น้อมไปในเหตุแม้
สักว่าจะดู โดยที่แท้ความสังเวชเท่านั้นเกิดขึ้น.
ลำดับนั้น เมื่อมหรสพเลิกแล้ว บริษัทหลีกไปแล้ว เมื่อสหายทั้ง
หลายเหล่านั้นพร้อมกับบริวารหลีกไปแล้ว โกลิตะจึงได้ถามอุปติสสะว่า เพื่อน

เพราะเหตุไร ท่านไม่มีแม้สักว่าความบันเทิงในการชมฟ้อนรำเป็นต้น เขาได้
บอกเนื้อความนั้นแก่โกลิตะนั้น แล้วได้ถามเนื้อความแม้เช่นเดียวกันนั้น แม้
โกลิตะนั้นก็ได้นอกความเป็นไปของตนแก่อุปติสสะนั้น แล้วกล่าวต่อไปว่า มา
เถิดสหาย เราจักไปบวชแล้วแสวงหาอมตธรรมกันเถิด. อุปติสสะตอบรับว่า
ดีแล้วเพื่อน ต่อจากนั้นสหายทั้งสองได้สละสมบัตินั้นแล้ว ได้เดินทางมาถึง
กรุงราชคฤห์โดยลำดับอีก.
โดยสมัยนั้นแล ปริพาชก ชื่อว่า สัญชัย อาศัยอยู่ในกรุงราชคฤห์.
สหายทั้งสองนั้น พร้อมด้วยมาณพบริวารคนละ 500 บวชในสำนักของสัญชัย
นั้น โดย 2-3 วันเท่านั้น ก็เรียนจบไตรเพท และลัทธิของปริพาชกทั้งหมด
สหายทั้งสองนั้น เมื่อเข้าไปพิจารณาถึงเบื้องต้นและท่ามกลางและที่สุดของศา-
สตร์ทั้งหลายเหล่านั้นก็ไม่เห็นที่สุด จึงได้ถามอาจารย์ว่า เบื้องต้นและท่ามกลาง
แห่งศาสตร์ทั้งหลายเหล่านี้ปรากฏอยู่. แต่ที่สุดไม่ปรากฏ เพราะสิ่งที่บุคคลจะ
พึงบรรลุให้ยิ่งขึ้นด้วยคิดว่า ตนจะพึงบรรลุสิ่งชื่อนี้ได้ด้วยศาสตร์เหล่านี้ ดังนี้
ย่อมไม่มี แม้อาจารย์สัญชัยนั้นก็กล่าวว่า แม้เราเองก็ไม่เห็นที่สุดแห่งศาสตร์
เหล่านี้เช่นนั้นเหมือนกัน. สหายทั้งสองนั้นจึงพูดกันว่า ถ้าอย่างนั้น พวกเราจะ
แสวงหาที่สุดแห่งศาสตร์เหล่านั้น อาจารย์จึงพูดกะพวกเขาว่า พวกเธอพึงแสวง
หาตามสบายเถิด. สหายทั้งสองนั้นอันอาจารย์สัญชัยนั้นอนุญาตแล้วอย่างนี้ เมื่อ
จะแสวงหาอมตธรรม เที่ยวไปอยู่ เป็นผู้ปรากฏแล้วในชมพูทวีป ชนทั้งหลาย
มีกษัตริย์และบัณฑิตเป็นต้น อันสหายทั้งสองเหล่านั้นถามแล้ว ก็ตอบให้
แจ่มแจ้งยิ่งขึ้นไม่ได้ แต่เมื่อชนทั้งหลายพูดว่า อุปติสสะ โกลิตะ ชนเหล่าใด
ที่พูดว่า พวกเราไม่รู้จักท่านทั้งสองนั้นเลย ดังนี้ย่อมไม่มี สหายทั้งสองจึง
เป็นผู้ปรากฏ (เป็นที่รู้จักกัน ) อย่างนี้.

เมื่อสหายทั้งสองเหล่านั้น เที่ยวแสวงหาอมตธรรมอยู่อย่างนี้ พระผู้มี
พระภาคเจ้าของเราทั้งหลาย ทรงอุบัติขึ้นแล้วในโลก ทรงแสดงธรรมจักรอัน
ประเสริฐแล้ว ได้เสด็จไปยังกรุงราชคฤห์โดยลำดับ ก็ปริพาชกทั้งสองนั้น
เที่ยวไปยังชมพูทวีปทั้งสิ้น การท่องเทียวไปขอพักไว้ก่อน เมื่อไม่ได้อมต-
ธรรม โดยที่สุดแม้สักว่าการตอบปัญหาเกี่ยวกันที่สุด จึงได้ไปยังกรุงราชคฤห์
อีก. เรื่องทั้งหมด นับตั้งแต่ข้อความที่ว่า ครั้งนั้นแล พระอัสสชิผู้มีอายุ
นุ่งห่มแล้วในเวลาเช้าดังนี้เป็นต้น จนถึงกาลที่สหายทั้งสองนั้นได้บรรพชา พึง
ทราบโดยพิสดารโดยนัยที่มาแล้วในบรรพชาขันธกะ.
เมื่อสหายทั้งสองเหล่านั้นบวชแล้วอย่างนี้ ท่านพระสารีบุตรได้กระทำ
ให้แจ้งซึ่งสาวกบารมีญาณ โดยระยะกาลกึ่งเดือน พระสารีบุตรนั้น เมื่อใดอยู่
ในวิหารเดียวกันกับพระอัสสชิเถระ เมื่อนั้น ท่านไปสู่ที่อุปัฏฐากของพระผู้มี
พระภาคเจ้าแล้ว ต่อจากนั้นก็ไปสู่ที่อุปัฏฐากพระเถระด้วยความเคารพว่า พระ
ผู้มีอายุนี้เป็นบุรพาจารย์ของเราทั้งหลาย เราได้อาศัยท่านผู้มีอายุนี้ จึงได้รู้คำ
สอนของพระพุทธเจัา เเต่ว่าเมื่อใดท่านมิได้อยู่ในวิหารเดียวกันกับพระอัสสชิ-
เถระ เมื่อนั้นพระเถระอยู่ ณ ทิศใด ท่านก็หันหน้าไปยังทิศนั้น ไหว้ด้วย
เบญจางคประดิษฐ์ แล้วประคองอัญชลีนมัสการ ภิกษุทั้งหลายเห็นการกระทำ
นั้นแล้ว จึงสนทนากันว่า พระสารีบุตรเป็นถึงอัครสาวก ยังไหว้ทิศอยู่แม้
ทุกวันนี้ ท่านเห็นจะยังละทิฏฐิของพวกพราหมณ์ไม่ได้.
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสดับเสียงสนทนานั้น ด้วยโสตธาตุอัน
เป็นทิพย์. เมื่อทรงแสดงพระองค์ผู้นั่งอยู่ บนพุทธอาสน์อันบวรที่เขาปูลาดไว้

แล้วนั้นแล ตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมาว่า ภิกษุทั้งหลาย เดี๋ยวนี้เธอทั้งหลายนั่ง
สนทนากันด้วยเรื่องอะไร. ภิกษุทั้งหลายเหล่านั้นได้ทูลบอกความเป็นไปนั้น.
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย พระสารีบุตรหาได้นอบ
น้อมทิศไม่ เธอได้รู้พระศาสนาเพราะอาศัยผู้ใด เธอจึงได้ไหว้นมัสการนอบ
น้อมผู้นั้น ซึ่งเป็นอาจารย์ของตน ภิกษุทั้งหลาย สารีบุตรเป็นผู้บูชาอาจารย์
ดังนี้แล้ว เพื่อจะแสดงธรรมแก่ภิกษุทั้งหลายผู้ประชุมกันแล้วในที่นั้น จึงได้
ตรัสพระสูตรนี้.
ในบรรดาบททั้งหลายเหล่านั้น บาทพระคาถาว่า ยสฺมา หิ ธมฺมํ
ปุริโส วิชญฺญา
ความว่า บุคคลฟังแล้วซึ่งปริยัติธรรม อันต่างด้วยปิฎกสาม
หรือว่าฟังแล้วซึ่งปฏิเวธธรรมอันต่างโดยโลกุตรธรรมเก้า ที่บุคคลฟังปริยัติ-
ธรรมแล้วจะพึงบรรลุ จากบุคคลใด คือพึงรู้แจ้งคือว่าพึงทราบ.
พระบาลีว่า วิเทยฺย ดังนี้ก็มี เนื้อความนั้นก็เหมือนกัน.
บาทคาถาว่า อินฺทํว นํ เทวตา ปูชเยยฺย ความว่า เทวดาทั้ง
หลายในเทวโลกทั้งสอง ย่อมบูชาท้าวสักกะจอมเทพฉันใด บุคคลนั้นลุกขึ้น
แต่เช้าตรู่แล้ว เมื่อกระทำวัตรปฏิบัติทั้งปวง มีการถอดรองเท้าเป็นต้น พึง
บูชา ได้แก่ พึงสักการะ เคารพบุคคลนั้น.
ถามว่า เพราะเหตุไร ?
ตอบว่า อาจารย์นั้นผู้เป็นพหูสูตอันอันเตวาสิกบูชาแล้ว มีจิตเลื่อมใส
ในอันเตวาสิกนั้น ย่อมชี้แจงธรรมให้แจ่มเเจ้ง.

สองบาทพระคาถาว่า โส ปูชิโต ฯเปฯ ปาตุกโรติ ธมฺมํ ความ
ว่า อาจารย์นั้นผู้ชื่อว่าเป็นพหูสูตด้วยสามารถแห่งปริยัติและปฏิเวธ อันศิษย์
บูชาแล้วอย่างนี้ มีจิตเลื่อมใส (พอใจ) ในอันเตวาสิกนั้น ย่อมกระทำให้แจ่ม
แจ้ง คือว่าย่อมแสดงซึ่งปริยัติธรรม ด้วยสามารถแห่งเทศนานั้นแล และ
ซึ่งปฏิเวธธรรมที่ตนฟังการแสดงแล้ว จะพึงบรรลุได้ ตามที่อาจารย์สั่งสอน
ด้วยการปฏิบัติ คือว่า ย่อมกระทำให้แจ่มแจ้งซึ่งปริยัติธรรมด้วยเทศนา หรือ
ซึ่งปฏิเวธธรรมที่ตนได้บรรลุแล้วด้วยสามารถแห่งอุปมา.
บาทพระคาถาว่า ตทฏฺฐิกตฺวาน นิสมฺม ธีโร ความว่า บุรุษชื่อว่า
เป็นนักปราชญ์ เพราะสามารถฟังธรรมแล้วทรงจำไว้ได้ กระทำธรรมที่อาจารย์
ผู้เลื่อมใสแล้วอย่างนี้ ทำให้ปรากฏแล้วให้มีประโยชน์.
บาทพระคาถาว่า ธมฺมานุธมฺมํ ปฏิปชฺชมาโน ความว่า เจริญอยู่
ซึ่งวิปัสสนาภาวนา อันชื่อว่าเป็นธรรมสมควร เพราะเป็นธรรมที่อนุโลมแก่
โลกุตรธรรม.
บาทพระคาถาว่า วิญฺญู วิภาวี นิปุโณ จ โหติ ความว่า เป็นผู้
รู้แจ้งด้วยการบรรลุ ด้วยปัญญา กล่าวคือ ความเป็นผู้รู้แจ้ง ชื่อว่าเป็นผู้
แจ่มแจ้ง เพราะรู้แจ้งแล้วสามารถจะกระทำให้ปรากฏ ให้คนแม้เหล่าอื่นทราบ
ได้ และชื่อว่าเป็นผู้ละเอียดอ่อน เพราะเป็นผู้แทงตลอดซึ่งอรรถะอันสุขุม
อย่างยิ่ง.
บาทพระคาถาว่า โย ตาทิสํ ภชติ อปฺปมตฺโต ความว่า ผู้ใดเป็น
ผู้ไม่ประมาท คือเป็นผู้มีความเลื่อมใสในอาจารย์นั้น เป็นเบื้องหน้า คบอาจารย์
ผู้เป็นพหูสูตเช่นนั้น คือผู้มีประการอันข้าพเจ้ากล่าวแล้วในตอนต้น.

พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงสรรเสริญ การคบอาจารย์ที่เป็นบัณฑิต
อย่างนี้แล้ว บัดนี้ เมื่อจะติเตียนการคบอาจารย์ที่โง่เขลา จึงตรัสคาถานี้ว่า
ขุทฺทญฺจ พาลํ เป็นต้น.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ขุทฺทํ ความว่า ซึ่งอาจารย์ผู้ประกอบ
ด้วยกายกรรมเป็นต้นอันเล็กน้อย ชื่อว่า ผู้โง่ (พาล) เพราะไม่มีปัญญา.
บทว่า อนาคตตฺถํ ความว่า ผู้มีประโยชน์ คือปริยัติและปฏิเวธ
อันตนไม่บรรลุแล้ว.
บทว่า อุสุยฺยกํ ได้แก่ ผู้ชื่อที่อดทนไม่ได้อยู่ ซึ่งความเจริญของ
อันเตวาสิก เพราะความเป็นผู้ริษยา. คำที่เหลือในคาถานี้ โดยบท (คือโดย
พยัญชนะ) ก็ปรากฏชัดแล้วทั้งนั้น แต่โดยอธิบาย พึงทราบเนื้อความแห่ง
พระคาถานั้นอย่างนี้ว่า อาจารย์ใดมักจะได้บริขารทั้งหลาย มีจีวรเป็นอัน
มากเป็นต้น ก็ไม่สามารถเพื่อจะให้จีวรเป็นต้น (หรือว่าย่อมไม่ให้แม้สักว่า
คำว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา) ในธรรมทานแก่อันเตวาสิกทั้งหลาย อันเตวาสิก
ซ่องเสพอยู่ ซึ่งอาจารย์นั้น ผู้ประกอบด้วยธรรมน้อย เพราะเป็นผู้ประกอบ
ด้วยธรรมมีความเป็นธรรมน้อยเป็นต้นเหล่านี้ ผู้โง่เขลา ผู้ไม่ได้บรรลุประ-
โยชน์ ผู้ริษยา แม้ตนของก็จะกลายเป็นคนโง่ (ไปด้วย) โดยนัยที่ท่านกล่าว
ไว้ว่า บุคคลห่อปลาเน่าด้วยหญ้าคา ดังนี้เป็นต้น เพราะฉะนั้น บุคคลนั้น
ไม่กระทำให้แจ่มแจ้ง และไม่ทราบปริยัติธรรม หรือปฏิเวธธรรมอะไร ๆ
แม้มีประมาณน้อยในศาสนานี้ ทั้งยังข้ามความสงสัยในธรรมทั้งหลายไม่ได้
ย่อมเข้าถึงความตาย.

บัดนี้ เมื่อจะกระทำเนื้อความแห่งพระคาถานั้นนั่นแลให้ปรากฏ พระ-
ผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสพระคาถาว่า ยถา นโร ดังนี้เป็นต้น.
ในคำทั้งหลายเหล่านั้น คำว่า อาปคํ ได้แก่ แม่น้ำ.
บทว่า มโหทกํ ได้แก่ น้ำมาก.
บทว่า สลิลํ ได้แก่ ไหลไปแล้วจากที่นี้และที่นี้ มีคำอธิบายว่า
แผ่กว้างออกไป. พระบาลีว่า สริตํ (ไหลไป) ดังนี้ก็มี เนื้อความก็อย่างนั้น
เหมือนกัน.
บทว่า สีฆโสตํ ได้แก่ พัดพาสิ่งที่ควรพัดพาไปได้ มีคำอธิบายว่า
ไหลไปด้วยกำลังแรง. โส อักษร ในคำนี้ว่า กึ โส และด้วย โส อักษร
นี้ว่า โส วุยฺหมาโน เป็นคำสักว่านิบาต เพราะเป็นคำแสดงถึงนระนั้น
เป็นคำที่ท่านอธิบายว่า กสุ เหมือนประโยคว่า น ภวิสฺสามิ นาม โส
วินสฺสิสฺสามิ นาม โส
(ข้าพเจ้าชื่อว่าจักไม่เป็น ข้าพเจ้าแลชื่อว่าจักฉิบหาย
ละสิ)
บทว่า ธมฺมํ ได้แก่ ธรรมสองอย่างที่กล่าวไว้แล้วในตอนต้นนั้นเอง.
บทว่า อนิสามยตฺถํ ได้แก่ ไม่ใคร่ครวญแล้วซึ่งเนื้อความ.
คำที่เหลือในพระคาถานี้ โดยบทปรากฏชัดแล้วทั้งนั้น ส่วนโดย
อธิบาย ผู้ศึกษาพึงทราบเนื้อความในพระคาถานี้ อย่างนี้ว่า นรชนคนใด
คนหนึ่ง ลงสู่แม่น้ำมีประการดังกล่าวมาแล้ว อันแม่น้ำนั้นพัดไปอยู่ ไปตาม
กระแสน้ำ คือว่า ไปตามอยู่ซึ่งกระแสน้ำนั้นเอง จักสามารถเพื่อจะทำบุคคล
อื่นที่อยู่บนฝั่ง คือว่าจักอาจเพื่อจะทำบุคคลอื่นให้ฝั่งได้อย่างไร ฉันใด
พระบาลีว่า สกฺกติ ดังนี้ก็มี.

บุคคลไม่ทำให้แจ้งซึ่งธรรมแม้ 2 อย่าง ด้วยปัญญาของตนแล้ว
และไม่ใคร่ครวญเนื้อความแม้สักว่า คำว่า อนิจจัง คำว่า ทุกขัง และคำว่า
อนัตตา ในสำนักของบุคคลผู้เป็นพหูสูตทั้งหลาย ไม่รู้อยู่เพราะความที่ตนไม่รู้
ได้ด้วยตนเอง และชื่อว่ายังข้ามความสงสัยไม่ได้ เพราะตนยังไม่ได้พิจารณา
ใคร่ครวญ และอาจเพื่อจะทำบุคคลอื่นให้เพ่งเล็ง คือให้เพ่งพินิจได้อย่างไร
ดังนี้. ในข้อนี้ผู้ศึกษาพึงระลึกถึงสุตตบท มีอาทิอย่างนี้ว่า ดูก่อนจุนทะ
ผู้นั้นแล ชื่อว่า บ่นเพ้ออยู่ด้วยตนเอง ดังนี้.
พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงกล่าวอุปมา เพื่อกระทำเนื้อความให้
ปรากฏ เพราะบุคคลไม่สามารถจะทำผู้อื่นให้เพ่งเล็งถึงคนพาล ด้วยการคบคน
พาลอย่างนี้แล้ว บัดนี้ จึงได้ตรัส 2 พระคาถาว่า ยถาปิ นาวํ เป็นต้น เพื่อ
จะตรัสซึ่งอุปมา เพื่อทำเนื้อความให้ปรากฏ เพราะเป็นผู้สามารถเพื่อจะทำผู้อื่น
ให้เพ่งพินิจได้ถึงบัณฑิต ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้แล้ว ในคำนี้ว่า ผู้ใด
ไม่ประมาท คบคนเช่นนั้น ดังนี้เป็นต้น.
ในบรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ผิเยน ได้แก่ ไม้พาย.
บทว่า อริตฺเตน ได้แก่ ถ่อ (ท่อนไม้ไผ่)
บทว่า ตตฺถ ได้แก่ ในเรือนั้น.
บทว่า ตตฺรุปายญฺญู ได้แก่ เป็นผู้รู้อุบาย ด้วยการให้บรรลุถึงหน
ทาง เพราะรู้อุบายมีการนำเรือมาและการแล่นเรือ (ใบ) ไป เป็นต้น และชื่อว่า
เป็นผู้ฉลาด เพราะความเป็นผู้มีสิกขาอันได้ศึกษาแล้ว และเพราะมีความฉลาด
เป็นประมาณ ชื่อว่าเป็นผู้มีความรู้ (ปัญญา) เพราะสามารถจะกำจัดอันตราย
ที่บังเกิดขึ้นแล้วได้.

บทว่า เวทคู ได้แก่ มรรคญาณทั้งสี่ กล่าวคือการรู้.
บทว่า ภาวิตตฺโต ได้แก่ มีจิตอันมรรคภาวนานั้นนั่นแลอบรมแล้ว.
บทว่า พหุสฺสุโต ได้แก่ มีนัยอันกล่าวแล้วในกาลก่อน.
บทว่า อเวธธมฺโม ได้แก่ เป็นผู้ไม่หวั่นไหวในโลกธรรมทั้ง 8
เป็นสภาพ.
คาถาว่า โสตาวธานูปนิสูปปนฺเน ได้แก่ ได้เกิดขึ้นแล้วโดยการเงี่ย
โสตลงสดับ และด้วยอุปนิสัยแห่งมรรคและผลทั้งหลาย. คำที่เหลือมีเนื้อความ
เข้าใจง่ายทั้งนั้น แม้โยชนาในการอธิบาย ก็สามารถจะให้ทราบชัดได้โดยนัย
ที่กล่าวแล้วในตอนต้นนั้นแล เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงไม่ต้องอธิบายให้พิสดาร.
พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นตรัสอุปมามีเนื้อความ คือการกระทำความ
เป็นผู้สามารถ เพื่อจะให้ผู้อื่นเพ่งพินิจถึงบัณฑิตให้ปรากฏ อย่างนี้แล้ว เมื่อ
จะทรงประกอบไว้ด้วยการคบบัณฑิตนั้น จึงตรัสพระคาถาสุดท้ายนี้ว่า ตสฺมา
หเว
ดังนี้เป็นต้น.
เนื้อความย่อในพระคาถาสุดท้ายนั้น มีดังต่อไปนี้ :-
เพราะเหตุที่ชนทั้งหลาย ผู้ถึงพร้อมด้วยอุปนิสัย ย่อมบรรลุคุณวิเศษ
ได้ด้วยการคบบัณฑิต ฉะนั้นแล บุคคลพึงคบสัตบุรุษ. ถามว่า คบสัตบุรุษ
เช่นไร. ตอบว่า บุคคลพึงคบสัตบุรุษผู้มีปัญญาด้วย ผู้เป็นพหุสูตด้วย คือว่า
ผู้มีปัญญา ด้วยความถึงพร้อมแห่งปัญญา และผู้เป็นพหูสูตด้วยมีสุตะทั้งสอง
ประการตามที่กล่าวแล้ว เพราะบุคคลนั้นเมื่อคบผู้มีปัญญาเช่นนั้นอยู่ รู้แล้ว
ซึ่งธรรมที่ผู้นั้นกล่าวแล้ว และทราบแล้วซึ่งอรรถ (ผล) อย่างนี้ ปฏิบัติ

อยู่ซึ่งธรรมตามที่อาจารย์ผู้มีปัญญานั้นสอนแล้ว ชื่อว่า ผู้มีธรรมอันรู้แจ้งแล้ว
ด้วยสามรถแห่งการแทงตลอดได้ด้วยข้อปฏิบัตินั้น พึงได้ คือพึงถึง ได้แก่
พึงบรรลุซึ่งโลกุตรสุข อันต่างด้วยมรรคผลและนิพพาน เพราะฉะนั้น พระ-
ผู้มีพระภาคเจ้า จึงให้พระเทศนาจบลงด้วยยอดคือพระอรหัต ดังนี้แล.
จบการพรรณนาเนื้อความแห่งธรรมสูตร แห่งอรรถกถาขุททกนิกาย
ชื่อปรมัตถโชติกา

กิงสีลสูตรที่ 9


ว่าด้วยบรรลุประโยชน์สูงสุดด้วยปกติอย่างไร


ท่านพระสารีบุตรทูลถามด้วยคาถาว่า
[326] นรชนพึงมีปกติอย่างไร มี
ความประพฤติอย่างไร พึงพอกพูนกรรม
เป็นไฉน จึงจะเป็นผู้ดำรงอยู่โดยชอบ
และพึงบรรลุถึงประโยชน์อันสูงสุดได้ พระ-
เจ้าข้า.

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า
นรชนพึงเป็นผู้ประพฤติอ่อนน้อม
ต่อบุคคลผู้เจริญ ไม่ริษยา และเมื่อไปหาครู
ก็พึงบุคคลผู้เจริญ ไม่ริษยา และเมื่อไปหาครู
ที่ครูกล่าวแล้ว พึงฟังสุภาษิตโดยเคารพ.
พึงไปหาครูผู้นั่งอยู่ในเสนาสนะของ
ตนตามกาล ทำมานะดุจเสาให้พินาศ พึง
ประพฤติอ่อนน้อม พึงระลึกถึงเนื้อความ
แห่งภาษิต ธรรมคือบาลี ศีล พรหมจรรย์
และพึงประพฤติโดยเอื้อเฟื้อด้วยดี.
นรชนมีธรรมเป็นที่มายินดี ยินดี
แล้วในธรรม ตั้งอยู่ในธรรม รู้จักวินิจฉัย